หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อเรื่องการสร้างพระพิมพ์นาดูนของคนในสมัยทวารวดี

ศิลปะเป็นสิ่งที่สื่อให้เห็นอัตลักษณ์หรือความเป็นตัวตนของคนกลุ่มนั้นๆ ที่สร้างศิลปะชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมา เมื่อคนกลุ่มนั้นๆมีการนับถือธรรมชาติหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ พวกเขาก็จะสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่เขานับถือหรือเป็นสิ่งที่ถวายแด่พระเจ้า ในพุทธศาสนาเองก็เช่นเดียวกัน มีการสร้างพลังศรัทธาออกมาเป็นงานศิลปะที่ใช้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และศิลปะที่นำเสนอผ่านพุทธศาสนาในแต่ละยุค แต่ละสมัยก็มีความแตกต่างกันออกไปตามที่อยู่อาศัยของคนแต่ละกลุ่ม
          ในสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นอาณาจักรแรกของไทยที่พบร่องรอยการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างมีแบบแผน คือ รู้จักการสร้างคูน้ำคันดินไว้เพื่อใช้ในการเกษตร มีระบบผังเมืองเป็นอาณาจักรแรก ซึ่งเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12 ลงมาถึง ศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันร่องรอยเมืองโบราณ รวมทั้งศิลปโบราณ วัตถุสถานและจารึกต่างๆในสมัยทวารวดีนี้ พบเพิ่มขึ้นอีกมากมาย และที่สำคัญได้พบกระจายอยู่ในทุกภาคของประเทศไทยโดยไม่มีหลักฐานของการแผ่อำนาจทางการเมืองจากจุดศูนย์กลางเฉกเช่นรูปแบบการปกครองแบบอาณาจักรทั่วไป เช่น ภาคเหนือ  ที่จังหวัดลำพูน อำเภอสวรรคโลก อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  พบเกือบทุกจังหวัด ,ภาคตะวันออก  ที่จังหวัดปราจีนบุรี และ จังหวัดสระแก้ว,ภาคใต้  ที่จังหวัดปัตตานี ,ภาคกลาง  กระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสำคัญต่างๆ เช่น แม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา
จากการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศพบเมืองโบราณสมัยนี้ถึง 63 เมืองด้วยกัน นอกจากนี้จากการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดียังพบว่าเมืองโบราณแทบทุกแห่งจะมีลักษณะของการต่อเนื่องทางวัฒนธรรมจากชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พัฒนาการขึ้นมาสู่ช่วงสมัยทวารวดี เมื่อมีการติดต่อกับอารยธรรมอินเดีย
ดังนั้นทฤษฎีของนักวิชาการรุ่นก่อนโดยเฉพาะความเชื่อเรื่องรูปแบบการปกครองแบบอาณาจักร และเมืองศูนย์กลางจึงเปลี่ยนไป ว่าน่าจะอยู่ในขั้นตอนของเมืองก่อนรัฐ(Proto-State)ในรูปของเมืองเบ็ดเสร็จหรือเมืองที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ในตัวเองทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความเชื่อศาสนา หากจะมีอำนาจทางการเมืองก็หมายถึงมีอำนาจเหนือเมืองบริวารหรือชุมชนหมู่บ้านรอบๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น เมืองใหญ่เหล่านี้แต่ละเมืองจะมีอิสระต่อกัน และเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันเพราะผลจากการติดต่อค้าขายและรับวัฒนธรรมจากอินเดียโดยเฉพาะทางด้านศาสนาพุทธแบบหินยาน รวมทั้งภาษา และรูปแบบศิลปกรรมแบบเดียวกัน

เมืองทวารวดีในภาคอีสานและจังหวัดมหาสารคามก็มีลักษณะเช่นเดียวกับเมืองทวารวดีในที่อื่น แต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไป คือมีการรับความเชื่อพุทธแบบทวารวดีหรือพุทธแบบหินยาน มาผนวกกับคาวมเชื่อดั้งเดิม คือผี เช่นจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบอยู่หลายจังหวัดในภาคอีสาน คือลัทธิหินตั้ง ซึ่งหินตั้งได้ถูกใช้ในพิธีกรรมของคนอีสานก่อนที่จะรับพุทธศาสนาแบบหินยานเข้ามา โดยจะใช้เป็นสัญลักษณ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ที่ประกอบพิธีกรรมหรือที่ฝังศพ เป็นต้น เมื่อรับพุทธศาสนาแบบหินยานเข้ามา ชาวอีสานและชาวมหาสารคามก็ยังนำเอาลัทธิหินตั้งเดิมมาปรับใช้ในพระพุทธศาสนา แล้วเรียกใหม่ว่า เสมา ซึ่งความเชื่อของคนในปัจจุบันที่มีการปักใบเสมารอบพระอุโบสถ ก็มาจากความเชื่อของคนตั้งแต่สมัยทวารวดีแล้ว
โบราณสถานแทบทั้งหมดใช้อิฐเป็นวัสดุหลักในก่อสร้าง อาจมีการใช้ศิลาแลงบ้างแต่ไม่ใช้หินก่อสร้างเลย อิฐเผาอย่างดีไส้สุกตลอด เนื้ออิฐแข็งพอสมควร ส่วนยาวจะเท่ากับสองเท่าของความกว้าง ส่วนกว้างเป็นสองเท่าของความหนา อิฐมีขนาดใหญ่ ขนาด 32x16x8 เซนติเมตรขึ้นไป ผสมแกลบมาก เป็นแกลบข้าวเหนียวปลูก
การก่อใช้อิฐทั้งก้อน ไม่ขัดผิวแต่ก็ประณีต รอยต่ออิฐแนบสนิท สอด้วยดินบางๆ เป็นส่วนผสมของดินเหนียวละเอียด ผสมกับวัสดุยางไม้หรือน้ำอ้อย จนเหนียวคล้ายกาว ทำให้อิฐจับกันแน่นสนิทเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงถากเป็นลวดลาย แล้วปั้นปูนประดับ เนื่องจากสังคมทวารวดียอมรับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทจากอินเดียเป็นหลัก (พบหลักฐานเนื่องในศาสนาฮินดูด้วยแต่ไม่มากนัก) ทำให้สังคมทวารวดีโดยทั่วไปเป็นสังคมพุทธ ดังนั้นอาคารโบราสถานทั้งหลายจึงเป็นพุทธสถานแทบทั้งสิ้น โบราณสถานเหล่านี้แสดงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะ และหลังคุปตะ และปาละเสนะตามลำดับ แต่ได้ดัดแปลงผสมผสานให้เข้ากับลักษณะท้องถิ่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน
ในส่วนของพระพิมพ์ทวารวดีที่ขุดพบในท้องที่มหาสารคามนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทราบว่าคนในสมัยนั้นเขามีความเชื่ออย่างไร เช่นการสร้างพระแผง ทำให้เราทราบว่าคนในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียว นอกจากนี้การที่พบสถูปในพระแผง ซึ่งเรียกว่า หม้อปูรณคตะ ส่วนมากจะมี 4 องค์ ซึ่งแสดงว่ามีพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นบนโลกแล้ว 4 พระองค์ นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติ ได้แก่ พระนาคปรก พระพิมพ์ปางปฐมเทศนา พระพิมพ์ปางประทานพร เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในมหาสารคามในพุทธศตวรรษที่ 12-16 มีความเชื่อทางพระพุทธศาสนาทั้งแบบเถรวาทและแบบมหายาน รวมทั้งมีการผนวกความเชื่อเดิมของตนเข้ากับความเชื่อใหม่ด้วยจนมีลักษณะเฉพาะของตน เช่น ใบเสมา เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น